ความพยายามและการต่อสู้เพื่อความฝันของคุณวษา

Posted on 29 March 2024

Blog Post

ในบทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจนี้ เราได้พบกับคุณวษา ผู้ที่มีความมุ่งมั่นและความบากบั่นในการวิ่งตามความฝันของตนเองในออสเตรเลียอย่างไม่ยอมแพ้ จากเด็กสายวิทย์ที่ไม่มั่นใจในภาษาอังกฤษ สู่การพิชิต IELTS 7 จากการมาเรียนต่อปริญญาที่ออสเตรเลีย และการตัดสินใจต่อสู้เพื่อให้ได้ PR และความไม่ย่อท้อในการวิ่งตามอาชีพที่ใฝ่ฝัน

คุณวษาได้เรียนปริญญาตรีในสาขาวิศวกรรมการบิน (Aerospace Engineering) จาก RMIT และได้รับปริญญาโทในสาขาวิศวกรรมและการจัดการ (Master of Engineering Management) จาก The University of Melbourne

หลังจากเรียนจบคุณวษาได้ทำวีซ่าแบบ Temporary Graduate Visa (วีซ่า 485) และได้รับการช่วยเหลือเรื่องการสมัคร PR (วีซ่า 189) ในตำแหน่ง Aerospace Engineer กับทาง I-Migration

งานแรกของคุณวษาคือที่บริษัท Thales Australia ในตำแหน่ง Configuration Management Coordinator และตำแหน่งที่ 2 คือ Supply Chain Planner ในบริษัทเดียวกัน ปัจจุบันคุณวษาได้ย้าย มาทำงานในบริษัท Healthshare Victoria ในตำแหน่ง Supply Chain Data Analyst ตั้งแต่ปี 2022

ตอนที่เรียนจบปริญญาตรี น้องมีความคิดไหมว่าเราจะอยู่ต่อที่ออสเตรเลียถาวร

ตอนแรกคือไม่เลยครับ เพราะเราไม่เคยคิดว่าเราจะอยู่ห่างบ้านไกลขนาดนั้น การมาทํางานหรืออยู่เมืองนอกเนี่ย มันเป็นอะไรที่เกินฝันมาก คิดซะว่าเรียนจบไปเราก็น่าจะเก่งระดับหนึ่ง กลับไปหางานที่เมืองไทยน่าจะดี แค่คิดแค่นั้นเลย ผมมีความคิดว่า เราคงอยู่ไม่ไหวหรอก อย่างเราเต็มที่เรียนจบก็เก่งแล้ว เรียนจบที่นี่ก็เท่แล้ว พอแล้ว

แต่หลังจากเรียนจบปริญญาโทแล้ว น้องมีความคิดเปลี่ยนยังไงคะ?

เอ้า! อยู่มานานแล้วลองสักตั้ง ก็เลยไปหาตามที่พี่เขาแนะนํา ผมก็ไปหาบริษัทพี่เอมี่นี่แหละครับ แล้วเราก็ตัดสินใจว่าเราจะลองดูก่อนว่าทํายังไงได้บ้าง ควรจะต้องทําอะไร มันมีขั้นตอนอะไรบ้าง แล้วเราอยู่ตรงไหน เราจะได้รู้ว่าเราขาดอะไรบ้าง เพื่อที่จะมีแต้มพอที่จะไปสมัคร (PR) แล้วก็ตอนนั้นก็ลงเรียน professional year program ด้วย

หลังจากนั้นน้องก็สมัครเป็น graduate visa 485 ก่อน แล้วก็พยายามที่จะสมัคร PR จากการนับแต้ม ซึ่งแต้มที่คุณวษา พยายามอย่างหนักหน่วงมากที่จะพยายามให้ได้ก็คือ แต้มการสอบภาษาอังกฤษ?

ใช่ครับ ตอนนั้นก็รู้สึกว่า เออ มันเป็น challenge ที่ใหญ่มาก เพราะว่าตัวเราเองเนี่ย ตอนที่เรียนจบปริญญาโทแต่ว่าสอบไอเอลได้ 6.0 All bands คือมันแบบ โอ้! รู้สึกว่าขนาดเรียนมาเยอะขนาดนี้ ยังไอเอลยังได้แค่ 6 เราก็ไม่รู้จะทํายังไง จับพลัดจับผลูไม่ออก ก็ค่อยๆ ไถหัวไป แต่ก็พยายามมองเอาว่ามันเป็น challenge เดียว เราก็เลยพยายามคิดว่าเราทํายังไงได้บ้าง? ก็เลยคิดว่าโอเค ไปเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว ซึ่งมันก็ยังช้าไป เพราะเรามีเวลาแค่ปีกว่า เราก็รู้สึกว่าเราเรียนไปตัวต่อตัวไปเรื่อยๆ ทั้งปี มันอาทิตย์ละชั่วโมง มันก็อาจจะช้าไป ก็เลยไปเรียนเพิ่มด้วยไอเอลคอร์สในโรงเรียนหนึ่ง เหมือนคนที่เขามาทั่วๆ ไปนะครับ ก็คือ 20ชั่วโมงต่อวีค บวกอีก 1 ชั่วโมงต่อวีค แต่ก็รู้สึกว่าบางครั้งก็ไม่พอก็เลยเรียนเพิ่มกับอาจารย์อีกคนหนึ่ง

สรุปว่าเรียนคอร์สหนึ่งคอร์สกับมีติวเตอร์อีกสองคนหรอคะ?

ใช่ คือใส่ไปเลย เพราะว่าก็คือที่บ้านเขาก็รู้สึกว่าโอเค เราก็แบบเอาวะ ก็ไหนๆ ก็เป็นการลงทุนครั้งสุดท้ายแล้ว อย่างน้อย ๆ ถ้ามันไม่ผ่าน เหมือนตีกอล์ฟไปไม่ถึงดวงจันทร์ก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว ประมาณว่า อย่างน้อย ๆ ภาษาอังกฤษเราก็จะดีขึ้นมา ก็เลยเอา ลุย!

กี่เดือนคะที่ติวภาษาอังกฤษหนักหน่วงขนาดนั้น

เอาจริงๆ ก็ประมาณ 6-7 เดือนเองครับ เราจะทําทุกอย่างให้มันเป็นภาษาอังกฤษ ดูหนังก็ดูภาษาอังกฤษ พักผ่อนยังต้องเป็นภาษาอังกฤษ ไม่มีอะไรทําก็พูดกับตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ คือเอาหมด บางครั้งเราจะไปหาเพื่อนฝรั่งคุยกับเรามันก็ได้ มันก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง แต่จังหวะนั้นเราไม่ค่อยมี opportunity มาก เราก็เลยใส่ด้วยตัวเองก็ได้ ทําทุกอย่างให้ (คะแนน) มันขึ้นมา”

สอบภาษาอังกฤษไปทั้งหมดกี่ครั้งแล้วคะ

หลังจากได้ IELTS 6 เนี่ย ก็คือแค่สามครั้งครับ เพราะว่าที่โรงเรียนเขาจะมีสอบซ้อมทุกวันศุกร์อยู่แล้ว ถึงแม้ว่าคนที่เขาตรวจข้อเขียนไม่ได้เป็น examiner แต่เขาก็รู้ว่าต้องตรวจยังไง อะไรประมาณเนี้ย 6 ประมาณเนี้ย 6.5 ประมาณเนี้ย 7 อะไรอย่างเงี้ย หลังเราก็จับทางออกก็ โอ๊ย! อย่างงี้ ก็ 7 แล้วเหรอ? เราก็พอรู้ว่ามันเป็นไปได้ แล้วพอทีเนี้ย พอได้ 7 ปุ๊บ รีบบอกพี่เอมี่เลย

แล้วถึงวันที่มีข่าวดีเนอะ ได้ PR มา วันนั้นคิดว่ามันจะเปิดโลกให้เราได้แล้วไหม ว่า เอ้ย ดีใจจังเลย ในที่สุดก็มาถึงแล้วชีวิตมาถึงฝั่งฝันอะไรงี้ ไหมคะ ตอนนั้นปี 2013 ไหมคะ

ใช่ครับ ประมาณ 2013- 2014 ครับ พอเราได้ PR แล้วเราก็ชื้นละ รู้สึกว่าการเดินทางที่เราตั้งใจไว้มันได้แล้ว เราก็โล่ง ทีเนี้ยเราก็พักแป๊บหนึ่ง แต่หลังจากนี้ ก็รู้สึกว่าอะต่อไป เพราะเราเรียนจบมาตรงเนี้ยนะครับ เราก็คง ไม่ได้คิดว่าเราอยากจะทํางานร้านอาหารไปทั้งชีวิต คือประมาณหกปีกว่าจะเรียนจบ ทุกวันที่เสียไปคือผมก็อายุเยอะขึ้น ก็เลยคิดว่า แล้วถ้าเรายังไม่เคยเริ่มทํางาน ใน professional career เนี่ยเราจะทํายังไง เราจะแก่ไปเราจะทํางานแต่ร้านอาหารน่ะ เราก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ พอได้ PR แล้วมันคือมันก็เหมือนมันก็โล่งไปเรื่องหนึ่งอะครับ แต่ว่าสุดท้ายเราก็ยังต้องหางานต่อ ผมก็รู้สึกว่า Challenge อีกแล้ว อีกรอบหนึ่ง

ไปต่อยังไงคะ ตอนนั้นคือได้ PR มา เรียนจบมาแต่ก็ยังหางานในสาย professional ทางด้าน engineering ไม่ได้ แล้วเราเริ่ม journey นั้นได้ยังไงเอ่ย

ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง เครี๊ยดเครียดครับ ผมรู้สึกว่า คือแค่จะให้คนมาเรียกสัมภาษณ์เราก็ยังยาก ถ้าเราสัมภาษณ์เราก็อาจจะไม่ได้งาน แล้วเขาจะรับเราไหม?  มันยากมากๆ เลยจริง ๆ ครับ แต่ก็ตอนนั้นก็ลองดูก่อน ก็เลยเริ่มลองสมัครไป แล้วก็ไม่มีการตอบรับอะไรเลย จริง ๆ ตอนนั้นที่เรียน professional year program เราก็ได้ไปฝึกงานกับ Jetstar นะครับ  คือเราก็พยายามสมัครไป ขนาดเราเป็นคนที่เคยทํางานกับเขามาแล้วนะ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่เรียกเรา

แล้วเราทํายังไงต่อคะ

จริง ๆ ก่อนหน้านั้นเราก็ส่ง (ใบสมัคร) ไปประมาณ 30-40 ที่ เขาก็ไม่เรียก ทีเนี้ยะ เราก็เคว้งแล้ว เพราะรู้สึกว่ามันเศร้า มันยากจริงๆ เลย เราไม่รู้จะทํายังไง แล้วเราก็มานั่งคิดเหมือนเดิมว่า สมมุติว่า อย่างตอนที่เราอยากได้ PR ก็ไปหาพี่เอมี่ ให้พี่เอมี่ช่วยไกด์ว่าต้องทํายังไง ช่วยกันหา strategy ว่าทํายังไงให้ได้ PR ตอนที่ผมจะเรียนภาษาอังกฤษผมก็ต้องไปหาครู ดูว่าจะทํายังไงเพื่อที่จะสอบผ่านไอเอล ผมก็เลยมองว่า มันต้องทําอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วรุ่นน้องผม เขาก็บังเอิญไปใช้งานบริการ Coaching หางานของบริษัทหนึ่งแล้วก็ได้ (งาน) นางเป็นหนึ่งในคนไทยไม่กี่คนที่หางาน professional ได้ ผมก็เลยไปถามน้อง ก็เลยได้คําแนะนํามา

เพราะว่าการที่เราจะลองผิดลองถูกในการหางาน เราอาจจะไม่มีเวลามากขนาดนั้น หรือมันเสียโอกาสและเสียเวลาไปเยอะอยู่ใช่ไหมคะ

ใช่ ๆ บางครั้งเราแค่เก็บเงิน แล้วจริงๆ ราคาเนี้ย ประมาณ 3,000-4,000เหรียญเนี่ย ถ้าทำงาน 1 เดือนก็ถือว่าคืนทุนละ ผมว่ามันตอบโจทย์ผมมาก ผมก็เลยไปใช้บริการ แต่ในระหว่างนั้นก็คือไม่รู้ว่าเพราะอะไร มันก็ยังใช้เวลาอยู่นะครับ เพราะว่าสายทางวิศวกรเนี่ยมันยากอยู่แล้ว เพราะในความที่พวกผมเป็นคนป้ำๆ เป๋อๆ ด้วย แล้วก็ กว่าจะได้เรียกสัมภาษณ์ไปก็สมัครประมาณ 100 ที่จะได้สัมภาษณ์ประมาณที่หนึ่ง

คือ1วันเนี่ย คือไปเลยประมาณ 15 แอปพลิเคชัน เสาร์-อาทิตย์ก็ 2-3 อันไรเงี้ย คือรวมๆ แล้วเดือนหนึ่งได้ประมาณร้อยหนึ่ง เขาจะเรียกสัมภาษณ์เราประมาณครั้งหนึ่ง แล้วผมส่งไปประมาณ 600-700 ที่ครับกว่าจะได้ที่ทํางาน

แล้วตอนเริ่มเข้าไปใน Cooperate work งานแรกรู้สึกยังไงบ้างคะ

คือตอนแรกเราก็งงๆ ครับว่ามันคืออะไร เราพยายามจะจับ เพราะว่าคนที่เขาสอนเราเขาก็พยายามพูดให้มันดูยาก พอเรามานั่งดู มันก็ไม่มีอะไรนี่หว่า คือตําแหน่งที่ผมเข้าไปตอนแรกคือ configuration management ไม่มีใครรู้เลยมันคืออะไร เราก็พยายามศึกษา สุดท้ายแล้วจริงๆ มันก็คือประมาณ document controller แล้วเปลี่ยนชื่อ title ให้มันหรูหราเท่านั้นเอง ปัดโธ่เอ๊ย (หัวเราะ) พอเราเป็นคนทํางานเยอะ ทํางานดี งานหมด หัวหน้าเราเป็นไดเรกเตอร์ เขาก็เลยหางานให้เราเพิ่ม เราก็บอกเป็นคนสู้งาน เอามาเลย เอามา เดี๋ยวทําหมดเลย สากกะเบือยันเรือรบเขียนโปรแกรม หรือแอดมิน

แล้วเรารู้สึกว่าเราถึงทางตันกับบริษัทแรกเมื่อไหร่คะทําไปแล้วกี่ปี?

เพราะว่าเราทํางานเยอะนะครับ ตอนหลังเลยได้จับพลัดจับผลูไปทํางานในฝ่าย supply chain เป็น supply chain planner ครั้งแรกเลย คือไม่มีใครทําเรื่องนี้ แล้วหัวหน้าผมก็เป็น supply chain manager ใหม่ เป็นตําแหน่งใหม่เหมือนกัน เขาเรียกผมเข้าไปช่วยทํา แล้วผมก็เหมือนเป็นคนดียวในทั้งบริษัทก็เลยทําทําเป็นสากกะเบือยันเรือรบที่เกี่ยวกับ supply chain ต้องบอกว่าเป็นผมหมดครับ แต่ว่าหลังๆ เนี้ย พอเรามีครอบครัว และภาระมากขึ้น อยากมีความก้าวหน้า และรายได้เพิ่มขึ้น บวกกับประสบการณ์เยอะพอตัวแล้ว น่าจะพร้อมโบยบินออกจากรัง หลังจากทำที่เดิมมา 8ปีกว่า ๆ เราก็เลยว่าเอาวะต้องหางานอีกรอบแล้วล่ะ ก็เลยไปปรึกษา agent คนเดิม เค้าก็แนะให้ฟังว่าช่วงนี้เป็นช่วงเดียวที่หางานง่ายที่สุดแล้ว คือเข้าใจนะว่าคุณกลัวเพราะความเสี่ยงคุณเยอะเพราะคุณมีครอบครัว แต่จังหวะนี้มันง่ายที่สุดแล้วในรอบ 40 ปี ถ้าคุณไม่กระโดดนี่ หมดคลื่นนี้ไปแล้วมันก็อาจจะยากแล้วนะ

คุณวษาตัดสินใจหางานใหม่ในปี 2022 ซึ่งเป็นช่วงที่ออสเตรเลียกลับมาเปิดประเทศใหม่ๆ ตลาดแรงงานขาดแคลนคนอย่างหนัก โอกาสในการหางานจึงมีมากขึ้น

ก็สมัครไปประมาณ 10-20 ที่นะครับ เขาก็ตอบรับมา 10 กว่าที่เหมือนกัน แต่ว่าสกิลของเรามันก็ไม่ค่อยเหมือนที่ตลาดเขาต้องการครับ เพราะสกิลเรามันค่อนข้างที่จะ multi-task เกินไป ไม่ specific เหมือนเราอยากทํางาน เป็น supply chain planner  แต่เขาอยากได้ demand planning ที่มันเกี่ยวกับการ forecast เซลล์ เราไม่มีตรงนั้น เขาก็ไม่เอาอยู่ดี แต่ส่วนหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะผมตอบคําถามสัมภาษณ์ไม่ดีเท่าไหร่ด้วยครับ เท่าที่คุยกับ agent เขาบอกจริง ๆ ส่วนใหญ่เป็นที่คุณตอบคําถามไม่ดีเท่านั้นแหละ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกคุณมีประสบการณ์ที่ผิดประสบการณ์หรอก

อเราต้อง present ตัวเองว่าเราเป็นคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งให้ได้มากที่สุดใช่ไหมคะ

คือจริงๆ มันจะมีเซตคําถามอยู่ 20 คำถามนะครับ ในทั่ว ๆ ไป จริง ๆ แล้วมันก็แค่เหมือนเรา เตรียมคําถามไปใช้กับประสบการณ์ของเราแล้วก็ ตอบด้วย structure – STAR เพราะว่ามันเป็นวิธีการ communicate ที่ง่ายที่สุดแล้ว พอเราทําตามนี้ ก็ได้เลย ตอนแรกเราก็งง ตอนแรกสมัครไป 10 ที่เนี่ย แทบจะไม่รับเลย ปรากฏว่าพอเราจับหลักได้เท่านั้นแหละ อ้าว! เรียกสัมภาษณ์ไปสองที่ จะรับเราสองที่แล้ว เรามานั่งเลือกเลยว่าจะเอาที่ไหน กลายเป็นอย่างงั้นไป

แล้วถึงปัจจุบันตอนนี้ทํางานอยู่ที่ไหนนะคะ?

ตอนนี้ทํางานอยู่ที่ Healthshare Victoria ครับ เป็น Data analyst งานคล้าย ๆ กับเป็น government agency ครับ ทํางานให้กับฝ่าย supply chain ของโรงพยาบาลใน Victoria คือตอนเนี้ยเขา centralised เกี่ยวกับ supply ซึ่งในที่สุดเราก็ได้ทํางานในสายที่เรากึ่งๆ มีประสบการณ์แล้ว กึ่งๆ ที่เราอยากทําพอดีเกี่ยวกับ data analysis เป็นแบบกึ่งๆ เอ็นจีเนียร์ด้วย แล้วต่อไปเราก็เลยมองว่าตรงนี้อาจจะเป็นบันไดก้าวต่อไป ถ้าเราอยากจะไปทํางานสาย engineer ต่อหลังจากนี้ ได้อยู่ในจุดที่เราอยากได้จริงๆ”

ขอถามเพิ่มเติมนิดหนึ่งว่า ดูคุณวษาเป็นคนมีสติ เหมือนรู้ว่าปัญหาเราคืออะไร หรือรู้ว่าอุปสรรคเราคืออะไร แต่ไม่วิ่งหนี รับมือกับปัญหาต่าง ๆ ได้ไงคะ

หนึ่งก็คือต้องลุยอะครับ แล้วเราแก้ปัญหาเนี่ย คือบางครั้งเราก็ต้องดูก่อนว่าอะไรคือปัญหา เราขาดอะไร แล้วอะไรพอช่วยแก้ปัญหาตรงนั้นได้บ้างแล้วก็สุดท้ายแล้วด้วยความจริงในออสเตรเลียมันก็ดีตรงที่ว่า ทุกปัญหามันมีบริการอยู่ที่เค้าสามารถช่วยเหลือ ซัพพอร์ต ต้องหาดู ทั้งเรื่องติวภาษา เรื่องวีซ่า และเรื่องหางานครับ

อยากจะฝากอะไรน้อง ๆ ที่คิดอยากจะมาสมัคร PR แต่ท้อเพราะมีอุปสรรค์หลายอย่างเลยท้อใจ

ก็อย่างที่บอก คือตัวผมเนี่ย คือบางครั้งไอ้ท้อเนี่ยมันท้อทุกคนนะครับ แต่คือมันไม่ใช่แค่ว่าสู้ คือสู้ด้วย อย่าลืมด้วยว่าทุกอย่างมันแก้ปัญหาได้ เงินมันแก้ปัญหาได้ ถ้าบอกว่ามีปัญหาเรื่องเงินก็ไปหาเงินก่อน รีบหาเงิน แล้วก็มาแก้ปัญหาตรงนี้ แค่นั้นเลย คือบางครั้งเราก็ต้องอย่ามองว่า เฮ้ย! มันแพง แต่โอ้โฮ! แป๊บเดียวได้เงินคืนแล้ว

สุดท้ายเราก็ต้องมานั่งตั้งสติ มานั่งแก้ทีละเรือง มีปัญหาเรื่องภาษาเราก็แก้เรื่องภาษาก่อน ทุ่มไปกับภาษา ทำวีซ่าเสร็จปุ๊บต้องหางาน ก็ทุ่มไปกับการหางาน ถ้ามีปัญหาเรื่องเงินก็ทุ่มกับการหาเงิน คือทีละสเต็ปครับ

 

จากคำพูดของคุณวษาที่เคยเชื่อว่าการทำงานอยู่เมืองนอกเป็นเรื่องเกินฝัน ผ่านช่วงเวลาที่ต้องพยายามเรียนภาษาและท้าทายตนเองในการหางาน สิ่งที่เราเรียนรู้คือ ปัญหาและอุปสรรคมักมากับทางออกเสมอ ขอเพียงเราตั้งสติและไม่ย่อท้อ ไม่ว่าจะเผชิญกับอุปสรรคใด เราก็สามารถก้าวข้ามผ่านมันไปได้ทุกครั้ง อย่าลืมว่าทุกเรื่องนั้นมีบริการและแหล่งสนับสนุนให้อยู่ ให้เชื่อมั่นว่าทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้

“มันต้องไฟท์ ถึงไฟหมด ถ้ามันหมดเราก็ค่อยว่ากัน ถ้ามันยังไม่หมดเราก็ไปต่อ!”

section background image

Need Visa Pathway Advice? We're here to help.